LAIS ศูนย์วางแผนเรียนต่อต่างประเทศ ซัมเมอร์แคมป์ อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา เยอรมัน ทุกระดับชั้นเรียน

ศูนย์วางแผนเรียนต่อต่างประเทศ The Lion Academy of International Studies ตัวแทนประเทศไทยให้คำปรึกษากับนักเรียสนใจไปเรียนต่อต่างประเทศในระดับปริญญาโท ปรึกษาฟรีได้ที่ทีมเดอะไลอ้อน ข้อมูลนี้ทีมงานเดอะไลอ้อนจัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลภาพรวมกว้าง ๆ การสอบเข้าในบางคณะหรือในบางมหาวิทยาลัยอาจจะมีเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมนอกเหนือจากข้อมูลข้างล่างนี้เช่นกัน

เรียนต่อปริญญาโทอังกฤษ Master Degree in the UK

     เมื่อพูดถึงการศึกษา เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าประเทศอังกฤษนั้นเป็นทางเลือกที่ดีแห่งหนึ่ง เพราะนอกจากจะได้การศึกษาที่มีคุณภาพสูงแล้ว นักเรียนยังจะได้ประสบการณ์ชีวิตที่น่าประทับใจอีกด้วย นั่นจึงไม่น่าแปลกใจที่นักเรียนหลายคนทั่วโลกเลือกที่จะศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ เพราะการศึกษาที่มีคุณภาพสูงนั้นจะเป็นสะพานที่นำคุณไปสู่เส้นทางที่รุ่งโรจน์ของหน้าที่การงานในอนาคต  

Length of Study: การเรียนต่อโทอังกฤษมีระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปีก็จบหลักสูตร หากคำนวนบวกลบคูณหารเปรียบเทียบในประเทศอื่น ถือว่าใช้เวลาสั้น ทำให้ประหยัดค่าครองชีพได้

เรียนทั้งหมด สามเทอม แบ่งเป็นสองเทอมแรกมีการเรียนการสอนปรกติ และเทอมสุดท้ายเป็นการทำวิทยานิพนธ์ (Dissertation)

วุฒิการศึกษามิใช่สิ่งเดียวที่คุณจะได้จากการศึกษาต่อต่างประเทศ แต่รวมไปถึงประสบการณ์ใหม่ๆ มุมมองที่แตกต่าง และเครือข่ายทางสังคมที่กว้างขวางขึ้นจากการใช้ชีวิตในต่างแดน ซึ่งเดอะไลอ้อนเชื่อว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาตนเองต่อไป

เหตุผลดีๆที่คุณควรเรียนต่อปริญญาโทในประเทศอังกฤษ

  • การศึกษาที่มีคุณภาพสูง : เห็นได้จากจำนวนศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงในวงการต่างๆ
  • หลักสูตรการศึกษาที่สั้น : ช่วยทำให้ค่าใช้จ่ายทั้งค่าเรียนและค่าดำรงชีพไม่สูงจนเกินไป 
  • วุฒิการศึกษาเป็นที่ยอมรับทั่วโลก : สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ว่าจ้าง และเป็นใบเบิกทางสู่การทำงานในบริษัทชั้นนำของโลก 
  • หลักสูตรการศึกษาที่มีคุณภาพ : มีการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรให้เข้ากับยุคสมัยเสมอ และมีเครือข่ายกับบริษัทชั้นนำมากมาย 
  • มีโปรแกรมที่ค่อนข้างเจาะเฉพาะลงไป เช่น อยากเรียนต่อการตลาด ก็จะแยกลึกลงไป เช่น การตลาดออนไลน์ การตลาดบริการการจัดการ เป็นต้น (MSc Digital Marketing, MA Marketing Management , MSc Marketing Communication)

ขั้นตอนการรับสมัคร

นักเรียนหลายคนเข้าใจการสมัครเรียนต่อปริญญาโทอังกฤษจำเป็นจะต้องมีผลสอบไอเอลทันที แต่ความจริงนั้นมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่สามารถรับใบสมัครได้โดยยังไม่ต้องยื่นผลสอบไอเอลแต่เอกสารที่สำคัญที่จะต้องทำการสมัครคือ

  1. Transcript ปริญญาตรีเป็นภาษาอังกฤษ สามารถส่งเทอมล่าสุดได้เช่นกัน เช่นบางคนรอผลเทอมสุดท้ายก็ส่งใบเกรดเท่าที่มีคือตั้งแต่ปี 1-4 ปีที่สี่ก็ขอมาเท่าที่มีได้เช่นกัน บางคนถามว่าอ้าวได้เหรอพี่
    ตอบว่าได้ครับ เพราะเทอมสุดท้ายเกรดมันพอคำนวนได้ว่ามันคงไม่หล่นและได้มากไปกว่ากี่เปอร์เซนต์ เพราะว่าเทอมสุดท้ายก็เหลือเครดิตไม่มากเช่นกัน
  2. Certificate ใบรับรองจบ ใบรับปริญญาตรี หรือ ใบรับรองว่ากำลังศึกษาอยู่ เป็นภาษาอังกฤษ
  3. Statement of Purpose (SOP) จดหมายแนะนำตัวเอง ให้ดูรายละเอียดวิธีการเขียนได้ที่ https://www.laisinterstudy.com/guide/knowledge-station/เนื้อหาในการเขียน-statement-of-purpose-sop
  4. CV/Resume: 1 หน้าแบบกระชับและได้ใจความ
  5. Reference letters จากอาจารย์สองคน หรือ อาจารย์หนึ่ง และที่ทำงานหนึ่งคน หากนักเรียนมีประสบการณ์ทำงาน การเขียนควรออกจากหัวจดหมายของมหาวิทยาลัย หรือบริษัท มีรายละเอียดคนเขียน และอีเมล์ให้ครบถ้วน ลายเซ็นจากผู้เขียน
  6. Copy of passport
  7. ในกรณีที่นักเรียนสมัครคณะด้านอาร์ต ดีไซน์ แฟชั่น ที่ต้องมีการส่ง Portfolio ประกอบจะต้องมีพร้อม

The Lion’s recommendation ช่วงที่นักเรียนควรยื่นใบสมัครปริญญาโทในประเทศอังกฤษ ทางเดอะไลอ้อนขอแนะนำอย่างยิ่ง สามารถเริ่มยื่นได้ตั้งแต่เดือนกันยายน ปีก่อนที่จะเริ่มไปศึกษา เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เนื่องจากใบสมัครยังไม่มาก การได้สมัครช่วงแรกๆ ที่เปิดรับสมัคร เพิ่มโอกาสได้ในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจำนวนการรอผลที่สั้นกว่า จำนวนที่นั่งยังมีอยู่เยอะ นักเรียนจะได้มีเวลาในการทำข้อสอบภาษาอังกฤษ IELTS ต่อไป ง่าย ๆ คือโล่งใจกว่าเยอะมาก เอาเวลาที่เหลือไปติวไอเอลให้ได้คะแนนเยอะ ๆ จะได้มีเวลาเต็มที่

เรียนต่อปริญญาโทอเมริกา

     สหรัฐอเมริกายังถือเป็นประเทศเป้าหมายหลักอันดับหนึ่งที่นักเรียนสนใจไปเรียนต่อกันมาก ไม่ว่าจะเป็นระดับภาษา มัธยม ซัมเมอร์ ปริญญาตรี โท และเอก ศูนย์วางแผนเรียนต่อต่างประเทศ The Lion Academy of International Studies มีสถาบันชั้นนำในอเมริกาให้นักเรียนไทยได้ตามฝันและสร้างประสบการณ์การเรียนในต่างประเทศ  เดอะไลอ้อนเองมีมหาวิทยาลัยที่เป็นพันธมิตรในเครือ แต่ต้องเรียนให้เข้าใจอย่างตรงไปตรงมาในประเทศอเมริกาว่า อาจจะยังไม่มีใครเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยในอเมริกาได้ทั้งหมด ก็ประเทศใหญ่มหึมามาก บางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้มีตัวแทนในต่างประเทศ   มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกามีมากถึง 4, 000 กว่ามหาวิทยาลัย ซึ่งเยอะมากๆ และไม่ได้มีระบบการจัดแรงกิ้งแบบ National Ranking ไม่มีกระทรวงศึกษาธิการเหมือนในหลาย ๆ ประเทศ ดังนั้นการเลือกมหาวิทยาลัย ปัจจัยจากแรงค์กิ้งอาจจะไม่ถูกต้องสักทีเดียว หากต้องการดูควรเลือกจากประเภทในการจัดลำดับ Category ก็จะช่วยให้ง่ายในระดับหนึ่ง เพราะว่าบางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เน้นการทำวิจัย research เราอาจจะไม่เห็นชื่อในมหาวิทยาลัยนั้น ๆ ในระบบแรงกิ้งที่นักเรียนไทยใช้เป็นตัววัด แต่บางมหาวิทยาลัยมุ่งเน้นการเรียนการสอนอย่างเดียวไม่ได้เน้นการทำวิจัย จึงทำให้อาจจะไม่ได้มีชื่อติดโผ่เข้าไป แต่อาจจะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในคณะหนึ่ง หรือบางมหาวิทยาลัยเอกชนในอเมริกาที่รับเข้ายาก  แต่ไม่เคยเห็นหรือได้ยินชื่อนั้นมาก่อน แต่การรับเข้าเน้นเกรดสูงแบบเกียรตินิยมก็มี หากแต่การเลือกควรมุ่งไปดูที่ประเภทของคณะ วิชา ที่สนใจ  ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยที่เด่นดังมากด้านศิลปศาสตร์อย่าง Occidental college ใน Los Angeles หนึ่งในมหาวิทยาลัยเอกชนที่เก่าแก่ในการสอนด้าน Liberal Arts College ที่มีบุคคลอันมีชื่อเสียงอย่าง Obama , Ben Affleck etc. เราก็อาจจะไม่คุ้นหูแต่เชื่อหรือไม่ว่าในการรับเข้าสุดโหด และมีจำนวนนักเรียนในห้องที่มีอย่างจำกัด และนั่นก็คือสาเหตุที่เราอาจจะต้องมองให้ลึกลงไปในเรื่องของประเภทของคณะลงไปด้วยเช่นกัน การเลือกมหาวิทยาลัยมีคำกล่าวของศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยท่านหนึ่งพูดว่า “เราต้องการเรียนคลาสเล็ก ๆ ที่อาจารย์รู้จักเรา หรือต้องการเรียนมหาลัยใหญ่แต่นั่งหลังห้อง” ก็เป็นมุมน่าคิดที่น่าสนใจทีเดียว ปัจจัยจึงขึ้นอยู่กับคณะ วิชา ประเภท เมือง ก็มีส่วนช่วยในการตัดสินใจ หากจะพิจารณาแรงค์ในการเลือกอาจจะไม่ได้ถูกต้องสักทีเดียวนัก

 

     ส่วนใหญ่ก็จะคุ้นไปเลยคือมหาวิทยาลัยในกลุ่ม Ivy League เพราะว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชนเน้นวิจัยเป็นหลัก  มหาวิทยาลัยเอกชนที่มีดวามเด่นทางด้านวิชาการ การวิจัย และเป็นท๊อปที่มีนักเรียนนักศึกษาและศิษย์เก่ามีชื่อเสียง Ivy League 8 สมาชิกมีใครกันบ้าง?

 

INSTITUTION

LOCATION

       1. Brown University

Providence, Rhode Island

       2. Columbia University

New York City, New York

       3. Cornell University

Ithaca, New York

       4. Dartmouth College

Hanover, New Hampshire

       5. Harvard University

Cambridge, Massachusetts

       6. University of Pennsylvania

Philadelphia, Pennsylvania

       7. Princeton University

Princeton, New Jersey

       8. Yale University

New Haven, Connecticut

     แต่การเลือกมหาวิทยาลัยในอเมริกายังมีตัวเลือกนับพัน ๆ ที่มีคุณภาพสูงอีกมากมายให้เลือกไม่เฉพาะในกลุ่มข้างบน อีกนับพัน ๆ มหาวิทยาลัย ย้ำนะครับนับพัน ๆ การเลือกมหาวิทยาลัยด้วยจำนวนนับพัน และความแตกต่างกันคงจะใช้แรงกิ้งอย่างเดียววัดอาจจะไม่ถูกสักทีเดียวนัก อย่างที่ได้อธิบายอเมริกาเองก็ไม่ได้มีสาระบบเครื่องมือวัดแบบการจัดแรงค์ระดับชาติ หรือกระทรวงด้านนี้ ส่วนใหญ่มหาวิทยาลัยมีชื่อส่วนใหญ่เป็นภาคส่วนของเอกชน ที่จะต่างจากฝั่งอังกฤษซึ่งเป็นของรัฐ การบริหารปกครองทางภาคเอกชนที่มีอำนาจ และกฎของสภามหาวิทยาลัยเอง จึงไม่แปลกถ้าเราจะเห็นกฎการรับเข้าศึกษาที่มีความหลากหลายและ แตกต่างกัน ความยืดหยุ่น หรือความเข้มข้นในการคัดเลือกบุคคล หรือบางที่การได้เจรจากับมหาวิทาลัยโดยตรงแบบ individual basis มันก็มีให้เห็นอยู่ในหลาย ๆ เคสเป็นต้น และก็ไม่แปลกถ้าจำนวนมหาวิทยาลัยมีมากมายขนาดนี้ และมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ ไม่ได้มีเอเจนซี่ตามประเทศต่างๆ ก็ต้องพูดแบบตรงไปตรงมาว่ามหาวิทยาลัยที่มีความเก่าแก่มานาน ความแข่งขันทั้งนักเรียนในประเทศที่ต้องการเข้าไปเรียนที่มีจำนวนมากมายขนาดนั้น คือว่ากันภาษาง่าย ๆ การแข่งขันเข้าเรียนมีสูงมากพอ และมีนักเรียนมากมายเพียงพอในแต่ละปีอยู่แล้ว เราจึงเห็นข้อความในมหาวิทยาลัยที่ว่านักเรียนต้องสมัครตรงเข้ามหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยไม่ได้มีพาร์ทเนอร์ตัวแทนในการช่วยเรื่องใบสมัคร เป็นต้น ซึ่งจะแตกต่างจากในหลายประเทศ เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเยอรมัน แต่แน่นอนในบางมหาวิทยาลัยก็เริ่มเห็นความสำคัญ และเริ่มมีพันธมิตรในการช่วยเหลือนักเรียนต่างชาติมากขึ้น และเริ่มมีระบบการเรียนที่เป็น Pathways มากขึ้นด้วยเช่นกัน

 

     Academic Year จะมีเรียนทั้งหมด 4 เทอม ต่อปี การเรียนจะแบ่งซอยย่อย แต่ละเทอม บางทีอาจจะเรียนแค่เทอมละสองวิชา-สามวิชาต่อเทอมก็ยังได้ ทำให้นักเรียนมีเวลามากในการค้นคว้า และทำคะแนนได้ดี ซึ่งถือเป็นจุดเด่นในการเรียนที่ประเทศอเมริกา การเก็บเครดิตอย่างต่ำเช่น 6 เครดิตต่อภาคการศึกษา เป็นต้น โอกาสในการทำงานหลังจบการศึกษา หรือระหว่างเรียน แน่นอนว่ายังถือเป็นจุดแข็งของอเมริกาที่ในบางคณะวิชามีโอกาสที่จะทำงานหลังจากจบการศึกษาได้ การรับเข้านอกจากจะสมัครเข้าตรง ในหลาย ๆ มหาวิทยาลัยเริ่มมีทางเลือกให้นักเรียนต่างชาติมากขึ้น หากเกรดเฉลี่ยหรือภาษาจะยังไม่ถึงการได้เรียนแบบ Pathways ที่มหาวิทยาลัยได้ทำร่วมกับเอกชนที่ทำหลักสูตรเพื่อเตรียมความพร้อมก่อน ดังนั้นคุณสมบัติผู้สมัครในการสมัครก็จะลดลงมา เช่น เกรดเฉลี่ย และผลคะแนนภาษา

     ระยะเวลาการเรียนปริญญาโทอเมริกา ก็ส่วนใหญ่ใช้เวลาได้เริ่มต้น 1-2 ปี การเรียนระยะเวลาหนึ่งปี นั้นหมายความว่านักเรียนเองจำเป็นต้องมีเกรดที่ดีในการที่เรียนวิชาต่าง ๆ ให้จบภายในหนึ่งปีด้วยเช่นกัน แต่ถ้าไม่ได้มีเวลาจำกัดการเรียน จริงๆ แล้วระยะเวลาสองปีที่เป็นช่วงเวลาที่ดีในการเก็บเกี่ยววิชาความรู้และประสบการณ์ต่างแดนได้ดีกว่าถ้านับการเก็บเครดิตในแต่ละเทอมให้เต็มที่ ยกเว้นในกรณีที่นักเรียนต้องเรียนเข้าเรียนแบบระบบ Pathways ก็อาจจะมีระยะเวลาในการเรียนบวกเพิ่มขึ้นไป

ขั้นตอนในการรับสมัครปริญญาโทอเมริกา

  1. Official Transcript
  2. Certificate
  3. English Test results เช่น IELTS, TOEFL iBT
  4. 2 recommendation letters จากอาจารย์สองท่าน หรือ อาจารย์หนึ่ง และจากที่ทำงานหนึ่ง
  5. Copy of passport
  6. Personal Statement/ Essay
  7. Bank Statement showing proof of sufficient funds
  8. Resume/CV
  9. GMAT or GRE if required

เรียนต่อปริญญาโทออสเตรเลีย

     สำหรับนักเรียนที่สนใจเรียนต่อปริญญาโทออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลียยังเป็นเป้าหมายหลัก ๆ สำหรับนักเรียนไทยเช่นกัน ด้วยคุณภาพการศึกษา และคุณภาพชีวิตถือว่าออสเตรเลียให้คำตอบในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดเด่นเรื่องของโอกาสทางการทำงานไม่ว่าจะเป็นระหว่างเรียนหรือหลังเรียนจบ ณ ปัจจุบันประเทศออสเตรเลียถือว่าให้โอกาสกับนักศึกษาสามารถทำงานได้ถูกต้องตามกฎหมาย


     ส่วนใหญ่นักเรียนไทยที่ไปเรียนก็จะเลือกมหาวิทยาลัยที่อยู่ในเขตเมืองใหญ่ เช่น ๆ Sydney, Melbourne, Perth, Brisbane เป็นต้น มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่กีมีคอร์สหลากหลายให้เลือก ถ้าไม่ได้เลือกในกลุ่มของ Group of Eight แล้วส่วนใหญ่ก็อยู่ในมาตราฐานเดียวกันหมด ในกลุ่ม Group of Eight ก็คือกลุ่มมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านวิจัยที่เป็นเลิศ มี
สมาชิกภาพด้วยกันทั้งหมด 8 มหาวิทยาลัยได้แก่

  • The University of Melbourne
  • The Australian National University
  • The University of Sydney
  • The University of Queensland
  • The University of Western Australia
  • The University of Adelaide
  • Monash University and
  • UNSW Sydney

     การรับเข้ามหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย จะต่างนิดหน่อยตรงที่ว่า ในหลาย ๆคณะ หากมหาวิทยาลัยพิจารณาแล้วว่าคุณสมบัติอาจจะยังขาดไปบ้าง การเรียนในมหาวิทยาลัยในออสเตรเลียจะมีให้ปรับพื้นฐานก่อนการเข้าสู่ระดับปริญญาโท ซึ่งจะพบบ่อย แบบเรียนเป็นขั้น ๆ ก่อน เช่น นักเรียนเรียนจบปริญญาตรี สาขารัฐศาตร์มา แต่สนใจอยากเรียนการตลาดในระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยในออสเตรเลียอาจจะยื่นเงื่อนไขให้เรียนเป็นขั้นโดยแบ่งดังนี้

Stage one: Academic English Language (ในกรณีที่ภาษาไม่ถึงตามเกณฑ์ที่กำหนด)
Stage two: Graduate Certificate
Stage three: Master Degree

ระยะเวลาระดับปริญญาโทออสเตรเลีย ส่วนใหญ่อาจจะใช้เวลาที่มากกว่าคืออาจจะอยู่ประมาณหนึ่งปีกว่า ๆ ถึงสองปีในบางกรณี 

ขั้นตอนในการรับสมัครปริญญาโทออสเตรเลีย

  1. Official Transcript
  2. Certificate
  3. Copy of passport
  4. Resume/CV
  5. 2 Recommendation letters จากอาจารย์สองท่าน หรือ อาจารย์หนึ่ง และจากที่ทำงานหนึ่ง
  6. IELTS

เรียนต่อปริญญาโทนิวซีแลนด์ (Master Degree Level 9)

     จะว่าไปภาพกว้างๆ ก็มีคล้ายอยู่กับประเทศออสเตรเลียอยู่บ้างตรงจุดเด่นที่นักเรียนปริญญาโทสามารถทำงานได้ระหว่างเรียนและหลังจบการศึกษาก็ให้โอกาสต่อวีซ่าประเภท Post Study Work ได้เช่นกัน นับว่าเป็นตัวเลือกสำหรับนักเรียนไทย ๆ หลาย ๆ คนที่ชอบอยากหาประสบการณ์การทำงานหลังเรียนจบ

Academic Year ระยะเวลาเรียนอยู่ประมาณ 15 เดือน บางโปรแกรมมี 5 เทอม หรือ 8 สัปดาห์ต่อเทอม เช่น
Term 1: เริ่มกุมภาพันธ์
Term 2: เริ่มพฤษภาคม
Term 3: เริ่ม กรกฎาคม
Term 4: เริ่ม กันยายน
Term 5: เริ่ม ธันวาคม

หรือบางโปรแกรมเรียน 3 เทอม หรือ 16 สัปดาห์ต่อเทอม เช่น
Semester 1: กุมพาพันธ์
Semester 2: กรกฎาคม
Semester 3: ธันวาคม (Summer School) 

ขั้นตอนในการรับสมัครปริญญาโทนิวซีแลนด์

  1. Official Transcript
  2. Certificate
  3. Copy of passport
  4. Resume/CV
  5. 2 Recommendation letters จากอาจารย์สองท่าน หรือ อาจารย์หนึ่ง และจากที่ทำงานหนึ่ง
  6. IELTS

เรียนต่อปริญญาโทเยอรมัน

     สำหรับตัวเลือกข้ามฝั่งกลับไปฝั่งยุโรป ประเทศที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีอย่างเยอรมัน ตัวเลือกใหม่ของนักเรียนไทยถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เพราะว่ามหาวิทยาลัยในเยอรมันก็มีหลักสูตรนานาชาติที่สามารถรองรับให้นักเรียนไทยเข้าไปศึกษาต่อได้ ซึ่งการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ จะว่าตัวเลือกนี้นอกจากจะได้ใช้ภาษาอังกฤษแล้ว หากการใช้ชีวิตประจำวันจะทำให้นักเรียนได้เรียนรู้ภาษาเยอรมันถือว่าเป็นการเพิ่มต้นทุนให้ประสบการณ์การใช้ภาษาด้วยเช่นกัน และหากจบการศึกษาระดับปริญญา นักเรียนก็สามารถได้วีซ่าทำงานหลังเรียนจบได้อีก อย่างน้อย ๆ หนึ่งปี ก็ถือว่าทำให้นักเรียนได้รับโอกาสที่ดีในการเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างแท้จริง

Academic Year ระยะเวลาเรียนต่อโทเยอรมันประมาณ 1 ปี หรือ 2 Semester เปิดสอนสอง Intake คือช่วง Spring/Autumn (มีนาคม หรือ กันยายน) แต่ในบางกรณีหากนักเรียนบางคนไม่มีแบคกราวน์ในสาขานั้น จำเป็นอาจจะลงโปรแกรมเรียน Pre-Master Preparation Course Master ระยะเวลาประมาณ 3 เดือนก่อนคอร์สปริญญาโทจะเริ่ม และที่น่าสนใจในประเทศเยอรมันคือ หลังจากเรียนจบปริญญาโท มหาวิทยาลัยก็จัดเป็นคอร์สเตรียมตัวเข้าพร้อมสู่โลกการทำงานด้วยโปรแกรมที่เรียกว่า Career Preparation Programme อีก 6 เดือนหลังจากจบปริญญาด้วยเพื่อนก้าวสู่การทำงานฝึกทักษะด้านผู้นำ เพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานในเยอรมันต่อไป

ขั้นตอนในการรับสมัครปริญญาโทเยอรมัน

  1. Official Transcript
  2. Certificate
  3. Copy of passport
  4. Resume/CV
  5. 2 Recommendation letters จากอาจารย์สองท่าน หรือ อาจารย์หนึ่ง และจากที่ทำงานหนึ่ง
  6. IELTS

เรียนต่อปริญญาโทแคนาดา

     เรียนต่อโทแคนาดาจริง ๆ มีความคล้ายกับในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่หลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นจำนวนระยะเวลาที่เรียน ข้อกำหนดในการสอบเข้า การแข่งขันในบางมหาวิทยาลัยที่มีการแข่งขันกันสูงในเขตบริติชโคลัมเบีย การรับสมัครปริญญาโทก็จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละสาขาและของมหาวิทยาลัยในแคนาดาเช่นกัน

Academic Year: ระยะเวลาเรียนต่อปริญญาโทแคนาดาอยู่ประมาณ 1.5-2 ปี เปิดสอน Intake ช่วง กันยายน /มกราคม พฤษภาคม

ขั้นตอนในการรับสมัครปริญญาโทแคนาดา

  1. Official Transcript
  2. Certificate
  3. Copy of passport
  4. Resume/CV
  5. 2 Recommendation letters จากอาจารย์สองท่าน หรือ อาจารย์หนึ่ง และจากที่ทำงานหนึ่ง
  6. IELTS